Wednesday, January 12, 2011

แมลงค่อมทอง


ชื่อวิทยาศาสตร์ Hypomeces squamosus Fabricius
วงศ์ Curculionidae
อันดับ Coleoptera
ความสำคัญและลักษณะการทำลาย
ตัว เต็มวัยกัดกินใบอ่อน ใบที่ถูกทำลายจะเว้า ๆ แหว่ง ๆ ถ้ามีการระบาดรุนแรงใบจะเหลือแต่ก้านและพบมูลที่หนอนถ่ายออกมาหล่นอยู่ตามใบ ความเสียหายรุนแรงใบจะเหลือแต่ก้านและพบมูลที่หนอนถ่ายออกมาหล่นอยู่ตามใบ ความเสียหายรุนแรงเกิดขึ้นกับลำไยและลิ้นจี่ต้นเล็ก ๆ เพราะทำให้ต้นลำไย/ลิ้นจี่ชงักการเจริญเติบโต
การแพร่กระจายและฤดูกาลการระบาด
พบระบาดเป็นประจำทุกปี ในระยะที่พืชแตกยอดอ่อน ทำความเสียหายรุนแรงเป็นบางบริเวณ ตัวเต็มวัยพบมากในเดือน ธันวาคม-มีนาคม ซึ่งเป็นระยะที่แมลงผสมพันธุ์และวางไข่
รูปร่างและชีวประวัติ
เป็นแมลงจำพวกด้วงปีกแข็ง ตัวสีเหลืองถึงเขียวอ่อน มีปากกัดกินเป็นงวงยื่นเห็นได้ชัด ชอบอาศัยอยู่ใต้ใบเวลาถูกตัวหรือได้รับความกระเทือนจะทิ้งตัวลง ตัวแก่จะวางไข่ไว้ในดิน เมื่อฟักและเจริญเป็นตัวหนอนจะอาศัยกินรากพืชอยู่ในดินเป็นเวลานาน และเป็นดักแด้อยู่ในดินจนกระทั่งเจริญเป็นตัวแก่ จะออกมากัดกินพืชและทำการผสมพันธุ์ต่อไป
  • ระยะไข่ 10 - 11 วัน
  • ระยะหนอน 5 - 6 เดือน
  • ระยะดักแด้ 14 - 15 วัน

Tuesday, January 11, 2011

แมลงตัวเบียน



แมลงตัวเบียน เป็นแมลงที่มีช่วงระยะตัวอ่อน ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาศัยและหากินอยู่ภาย นอกหรือภายในตัวเหยื่อ เพื่อ การเจริญเติบโตอยู่จนครบวงจรชีวิตของพวกมัน ทำให้เหยื่ออ่อนแอและตายในที่สุด
       แมลงตัวเบียนตัวเมียตัวเต็มวัยจะวางไข่อยู่บนหรือใช้อวัยวะวางไข่แทงเข้าไป ใน ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ หรือตัวเหยื่อที่โตเต็มวัย ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวเบียนนั้นๆ  หลังจากนั้นเมื่อไข่ฟักเป็นตัวอ่อน เช่น เป็นตัวหนอน ซึ่งจะใช้ร่างกายของเหยื่อเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและเป็นอาหารไปพร้อมกัน แต่เมื่อเติบโตเป็นตัวเต็มวัยแล้ว อาหารของตัวเต็มวัยมักจะแตกต่างกับอาหารของตัวอ่อน เช่น น้ำหวานจากดอกไม้  เหยื่อของแมลงตัวเบียน มีทั้งที่เป็นแมลงด้วยกันเอง หรือ สัตว์ชนิดอื่นๆ  ตัว เบียนมีความสำคัญในการควบคุมปริมาณศัตรูพืชเป็นโดยธรรมชาติ   เราอาจแบ่ง แมลงตัวเบียนโดยอาศัยระยะต่างๆของแมลงที่เป็นเหยื่อ ได้ดังนี้
แมลงเบียนไข่ หมาย ถึง แมลงเบียนที่อาศัยหากินภายในไข่ของแมลงที่เป็นเหยื่อ และเข้าดักแด้อยู่ภายในไข่นั้น
แมลงเบียนหนอน หรือแมลงเบียนตัวอ่อน ซึ่งตัวเต็มวัยตัวเมียของแมลงเบียนจะวางไข่ไว้บนหรือในตัวหนอน แมลงตัวเบียน จะเข้าสู่ระยะดักแด้ ในขณะที่ตัวเหยื่อตายก่อนเข้าระยะดักแด้
แมลงเบียนดักแด้ เป็นพวกที่อาศัยและหากินในตัวเหยื่อระยะดักแด้
แมลงเบียนตัวเต็มวัย เป็นแมลงตัวเบียนที่ออก ไข่ และตัวอ่อนอาศัยแมลงที่เป็นเหยื่อในระยะตัวเต็มวัย 
แมลงเบียน หนอนดักแด้ จะอาศัยหากินอยู่กับตัวอ่อนของเหยื่อ และจะเจริญเติบโตครบวงจรชีวิตเข้าระยะดักแด้ไปพร้อมกับเหยื่อ และแมลงตัวเบียน เมื่อเติบโตเป็นตัวเต็มวัยก็จะออกจากดักแด้ของตัวเหยื่อโดยที่เหยื่อจะตายไป

Tuesday, December 14, 2010

แมลงหล่า


       แมลงหล่า เป็นแมลงอยู่อันดับ Hemiptera วงค์ Pantatomidae เป็นมวนชนิดหนึ่ง มีลักษณะค่อนข้างกลมคล้ายโล่ห์ ด้านหัวและอกเป็นรูปสามเหลี่ยม ลำตัวมีสีน้ำตาลหรือดำเป็นมันวาว ยาว 7-8 มิลลิเมตร กว้าง 4-5 มิลลิเมตร เพศผู้มีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย ชอบอาศัยรวมกลุ่มที่โคนต้นข้าวเหนือระดับน้ำในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนจะเคลื่อนย้ายขึ้นบนต้นข้าว เพศเมียวางไข่ประมาณ 200 ฟอง โดยวางไข่เป็นกลุ่ม จำนวน 20-26 ฟองต่อกลุ่ม เรียงเป็นแถวขนานกัน วางไข่ที่ใบข้าวบริเวณโคนต้นข้าวใกล้ระดับผิวน้ำ หรือบางครั้งอาจจะวางบนพื้นดิน ไข่มีสีชมพูแกมเขียว ระยะไข่ 4-6 วัน ตัวอ่อนมี 6 ระยะ ตัวอ่อนมีสีน้ำตาลและสีเหลืองกับจุดสีดำ ระยะตัวอ่อน 20-30 วัน ตัวอ่อนมีพฤติกรรมเหมือนตัวเต็มวัย คือหลบซ่อนอยู่ที่โคนต้นข้าวหรือตามรอยแตกของพื้นดินในตอนกลางวันและหากินใน ตอนกลางคืน ตัวเต็มวัยมีอายุนานถึง 214 วัน อยู่ข้ามฤดูหนาวหรือฤดูแล้ง โดยฟักตัวอยู่ในร่องระแหงดินในที่มีหญ้าขึ้น เมื่อสภาพภูมิอากาศเหมาะสมจะบินเข้าแปลงนา และขยายพันธุ์หลายรุ่น มีการพักตัวหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ตัวเต็มวัยสามารถอพยพได้ระยะทางไกลๆ


ลักษณะการทำลายและความรุนแรงของการระบาด
        ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากกาบใบข้าวบริเวณโคนต้นข้าว ทำให้บริเวณที่ถูกทำลายเป็นสีน้ำตาลแดงหรือเหลือง ขอบใบข้าวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำคล้ายข้าวเป็นโรคไหม้ ตามข้อของลำต้นข้าวเป็นบริเวณที่แมลงหล่าชอบเพราะเป็นแหล่งที่มีน้ำเลี้ยง มาก การทำลายในระยะข้าวแตกกอทำให้ต้นข้าวที่อยู่กลางๆ กอข้าวมีอาการแคระแกร็น มีสีเหลืองหรือเหลืองแกมน้ำตาล และการแตกกอลดลง ถ้าทำลายหลังระยะข้าวตั้งท้องทำให้รวงข้าวแกร็น ออกรวงไม่สม่ำเสมอและรวงข้าวมีเมล็ดลีบ ต้นข้าวอาจเหี่ยวตายได้ ถ้ามีแมลงจำนวนมากทำให้ต้นข้าวแห้งไหม้คล้ายกับถูกเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ทำลาย แมลงหล่าทำลายได้ทุกระยะการเจริญเติบโต

     แมลงหล่ามักพบระบาดในข้าวนาสวน นาชลประทานพบมากกว่านาน้ำฝน พบในนาหว่านมากกว่านาดำ เนื่องจากความหนาแน่นของต้นข้าวนาหว่านมีมากกว่านาดำ ซึ่งเป็นสภาพที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย โดยทั่วไปแมลงหล่าชอบสภาพที่ร่มและเย็น ในฤดูนาปีการระบาดมีมากกว่านาปรัง พบระบาดเป็นครั้งคราวในบางท้องที่ แต่การระบาดแต่ละครั้งมักทำความเสียหายรุนแรง ดังเช่น ปี พ.ศ. 2538-2539 มีรายงานการระบาดของแมลงหล่าที่อำเภอเมือง อำเภอตากใบ อำเภอระแงะ และ กิ่งอำเภอบาเจาะ เป็นพื้นที่ 36,335 ไร่ โดยเฉพาะที่อำเภอตากใบระบาดถึง 23,151 ไร่ ในปี พ.ศ. 2542 แมลงหล่าระบาดทำความเสียหายแก่ข้าวในหลายท้องที่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่จังหวัดนราธิวาส พบระบาดถึง 22,000 ไร่ สาเหตุการระบาดของแมลงหล่าในจังหวัดนราธิวาส ไม่สามารถชี้ชัดว่ามาจากสาเหตุใด แต่มีข้อสังเกตว่าพบระบาดในพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วม และโดยทั่วไปเกษตรกรไม่มีการใช้สารฆ่าแมลงในการปลูกข้าว พันธุ์ข้าวที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พื้นเมือง ในปี พ.ศ. 2545 พบระบาดที่อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี แต่ไม่รุนแรงนัก และ ปี พ.ศ. 2546 พบระบาดที่อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ในข้าวอายุประมาณ 45 วัน ปี 2547 พบระบาดในนาข้าวของเกษตรกรที่คลองแปด และ คลองสิบสี่ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ในข้าวระยะแตกกอเต็มที่จนถึงระยะออกรวง ทำให้ตันข้าวแห้งตาย ผลผลิตเสียหาย คาดว่าแมลงชนิดนี้จะเริ่มมีความสำคัญในนาข้าวบริเวณนี้เนื่องจากพบระบาดทำ ความเสียหายมาจนถึงปี 2548

แมลงสิง



แมลงสิง Leptocorisa oratorius (Fabricius) เป็น มวนชนิดหนึ่ง  ตัวเต็มวัยมีรูปร่างเพรียวยาวประมาณ 15 มิลลิเมตร  หนวดยาวใกล้เคียงกับลำตัว ลำตัวด้านบนสีน้ำตาล ลำตัวด้านล่างสีเขียว เมื่อถูกรบกวนจะบินหนี และปล่อยกลิ่นเหม็นออกจากต่อมที่ส่วนท้อง  ตัวเต็มวัยจะออกหากินช่วงบ่ายๆ และช่วงเข้ามืด และเกาะพักที่หญ้าขณะที่มีแสงแดดจัด เพศเมียวางไข่ได้หลายร้อยฟองในช่วงชีวิตประมาณ 2-3 เดือน วางไข่เป็นกลุ่มมี 10-12 ฟอง เรียงเป็นแถวตรงบนใบข้าวขนานกับเส้นกลางใบ ไข่มีสีน้ำตาลแดงเข้ม รูปร่างคล้ายจาน  ระยะไข่นาน 7 วัน  ตัวอ่อนมีสีเขียวแกมน้ำตาลอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และดูดกินน้ำเลี้ยงจากกาบใบข้าวก่อน ต่อมาเป็นตัวเต็มวัยจะเข้าทำลายเมล็ดข้าวในระยะข้าวเป็นน้ำนมจนถึงออกรวง  ตัวอ่อนมี 5 ระยะ

ลักษณะการทำลายและการระบาด
      ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยใช้ปากแทงดูดกินน้ำเลี้ยงจากเมล็ดข้าว ระยะเป็นน้ำนม แต่ก็สามารถดูดกินเมล็ดข้าวทั้งเมล็ดอ่อนและเมล็ดแข็งโดยตัวเต็มวัยจะทำความ เสียหายมากกว่า เพราะดูดกินเป็นเวลานานกว่าทำให้เมล็ดลีบ หรือเมล็ดไม่สมบูรณ์และผลผลิตข้าวลดลงการดูดกินของแมลงสิงไม่ทำให้เป็นรูบน เปลือกของเมล็ดเหมือนมวนชนิดอื่นโดยปากจะเจาะผ่านช่องว่างระหว่างเปลือกเล็ก และเปลือกใหญ่ของเมล็ดข้าว ความเสียหายจากการ ทำลายของแมลงสิงทำให้ข้าวเสียคุณภาพมากกว่าทำให้น้ำหนักเมล็ดลดลง โดยเมล็ดข้าวที่ถูกแมลงสิงทำลาย เมื่อนำไปสีจะแตกหักง่าย แมลงสิงเริ่มพบในต้นฤดูฝน และเจริญเติบโต ขยายพันธุ์ 1-2 รุ่นบนพืชอาศัยพวกวัชพืชตระกูลหญ้า  ก่อนที่จะอพยพเข้ามาในแปลงนาข้าวช่วงระยะข้าวออกดอก  แมลงสิงพบได้ทุกสภาพแวดล้อม แต่พบมากในนาน้ำฝนและข้าวไร่  สภาพที่เหมาะต่อการระบาดคือ นาข้าวที่อยู่ใกล้ชายป่า มีวัชพืชมากมายใกล้นาข้าว และมีการปลูกข้าวเหลื่อมเวลากันข้อสังเกต ถ้ามีแมลงสิงระบาดในนาข้าวจะได้กลิ่นเหม็นฉุน


การป้องกันกำจัด
     1) กำจัดวัชพืชในนาข้าว คันนาและรอบๆแปลง
     2) ใช้สวิงโฉบจับตัวอ่อนและตัวเต็มวัยในนาข้าวที่พบระบาดและนำมาทำลาย
     3) ตัวเต็มวัยชอบกินเนื้อเน่า นำเนื้อเน่าแขวนไว้ตามนาข้าว และจับมาทำลาย
     4) หลีกเลี่ยงการปลูกข้าวต่อเนื่องเพื่อลดการแพร่ขยายพันธุ์
     5) ใช้สารฆ่าแมลง คาร์โบซัลแฟน (พอสซ์ 20% อีซี) อัตรา 80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อแมลงสิงมากกว่า 4 ตัวต่อตารางเมตร ในระยะข้าวเป็นน้ำนม

 


แมลงบั่ว



     ตัวเต็มวัยของแมลงบั่ว มีลักษณะคล้ายยุงแต่ลำตัวมีสีส้มยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตรหนวด และขามีสีดำ เวลากลางวันตัวเต็มวัยจะเกาะซ่อนตัวอยู่ใต้ใบข้าว บริเวณกอข้าวและจะบินไปหาที่มีแสงไฟเพื่อผสมพันธุ์ ตัวเมียวางไข่ใต้ใบข้าวเป็นส่วนใหญ่ในตอนกลางคืนโดยวางเป็นฟองเดี่ยวๆ หรือเป็นกลุ่ม ไข่มีลักษณะคล้ายกล้วยหอม สีชมพูอ่อน ยาวประมาณ 0.45 มิลลิเมตร กว้าง 0.09มิลลิเมตร ระยะไข่ประมาณ 3-4 วัน ตัวหนอนที่ฟักจากไข่จะคลานตาม บริเวณกาบใบเพื่อแทรกตัวเข้าไปในกาบใบ เข้าไปอาศัยกัดกินที่จุดกำเนิดของหน่ออ่อน (growing point) หนอนมี 3 ระยะ ระยะหนอนนาน 11 วัน ขณะที่หนอนอาศัยกัดกินหน่ออ่อนนั้น ต้นข้าวจะสร้างหลอดหุ้มตัวหนอนไว้ ทำให้ข้าวแสดงอาการ ที่เรียกว่า “หลอดบั่ว หรือ หลอดธูป” หนอนก็เจริญและเข้าดักแด้ภายในหลอดข้าวนั้น โดยระหว่างที่หนอนโตขึ้นหลอดก็จะมีขนาดใหญ่และยืดออก และเมื่อหนอนเข้าดักแด้ หลอดนั้นก็จะยืดโผล่พ้นกาบใบข้าวจนมองเห็นจากภายนอกได้ ระยะดักแด้นาน 6 วัน เมื่อดักแด้ใกล้จะฟักออกเป็นตัวเต็มวัยจะเคลื่อนย้ายมาอยู่ส่วนปลายของหลอด ข้าวนั้น และเจาะออกเป็นตัวเต็มวัยที่ปลายหลอดนั่นเอง พร้อมทั้งทิ้งคราบดักแด้ไว้ที่รอยเปิดนั้น ระยะตัวเต็มวัยนาน 2-3 วันฤดูหนึ่งบั่ว สามารถขยายพันธุ์ได้ 6-7 ชั่วอายุๆที่ 2, 3 และ 4 จะเป็นชั่วอายุที่สามารถทำความเสียหายให้ข้าวได้มากที่สุด

ลักษณะการทำลายและการระบาด

        แมลงบั่วเป็นแมลงศัตรูข้าวที่สำคัญในภาคเหนือตอนบน เช่นที่ จังหวัดตาก แพร่ ลำปาง น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่ ซึ่งพบระบาดรุนแรงในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จังหวัดขอนแก่น อุบลราชธานี หนองคาย นครพนม และสกลนครเนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการเพิ่มปริมาณของแมลงบั่ว กล่าวคือ มีความชื้นสูง มีพื้นที่เป็นเขาหรือเชิงเขาล้อมรอบ ทั้งนี้เพราะความชื้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการวางไข่ จำนวนไข่ การฟักไข่ การอยู่รอดหลังจากฟักจากไข่ของหนอนและการเข้าทำลายยอดข้าวอ่อนเหตุที่สภาพ ภูมิอากาศเป็นตัวกำหนดการเพิ่มปริมาณของแมลงบั่ว จึงทำให้ในภาคกลางแมลงบั่วเป็นแมลงศัตรูข้าวที่มีความสำคัญน้อย โดยพบบางปี ในจังหวัดฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี และปทุมธานี ภาคตะวันออกที่จังหวัดตราดและจันทบุรี ภาคใต้ที่จังหวัด ชุมพร และสุราษฎร์ธานี

         ตัวเต็มวัยแมลงบั่วจะเข้าแปลงนาตั้งแต่ระยะกล้า หรือช่วงระยะเวลา 25-30 วัน เพื่อวางไข่หลังจากฟักออกตัวหนอนจะคลานลงสู่ซอกของใบยอดและกาบใบเพื่อเข้า ทำลายยอดที่กำลังเจริญทำให้เกิดเป็นหลอดลักษณะคล้ายหลอดหอม ต้นข้าวและกอข้าวที่ถูกทำลายจะมีอาการแคระแกร็น เตี้ย ลำต้นกลม มีสีเขียวเข้ม ยอดที่ถูกทำลายไม่สามารถออกรวงได้ ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงมาก ระยะข้าวแตกกอจะเป็นระยะที่บั่วเข้าทำลายมาก เมื่อข้าวเกิดช่อดอก (primodia) แล้วจะไม่ถูกหนอนบั่วทำลาย

         ตัวหนอนเข้าทำลายจุดกำเนิดของหน่อข้าว หน่อข้าวจะสร้างหลอดหุ้มตัวหนอนมีลักษณะคล้ายหลอดหอม ต้นที่ถูกทำลายจะไม่ออกรวง 

แมลงสาบ



แมลงสาบ คือแมลงชนิดหนึ่ง โดยชื่อภาษาอังกฤษนั้นมีที่มาจากภาษาละติน ส่วนชื่อไทยนั้นคำว่าสาบ หมายถึง กลิ่นเหม็นสาบ เหม็นอับนั่นเอง แมลงสาบนั้น โดยทั่วไปที่รู้จักกันดีจะเป็นสายพันธุ์ Periplaneta americana ซึ่งสายพันธุ์นี้มีลำตัวยาวประมาณ 3 เซนติเมตร แมลงสาบอยู่ในวงศ์ Blattidae ส่วนแมลงสาบไทยหรือแมลงสาบในสายพันธุ์เอเชียจะอยู่ในวงศ์ Blattella asahinai ซึ่งมีความยาวลำตัวประมาณ 2 เซนติเมตรขึ้นไป

ความเป็นมาและวิวัฒนาการของแมลงสาบ
วิวัฒนาการของแมลงสาบ จากการศึกษาซากฟอสซิลของแมลงสาบ บ่งชี้ได้ว่า แมลงสาบได้ถือกำเนิดมาบนโลกนี้ยาวนานกว่ามนุษย์หลายเท่า เพราะมันได้เกิดมาตั้งแต่ยุคโบราณ (Carboniferous) 354 - 295 ล้านปีมาแล้ว ความแตกต่างของแมลงสาบโบราณกับแมลงสาบในปัจจุบัน คือช่องออกไข่ที่ปลายช่องท้องของมัน และมีการค้นพบฟอสซิลแมลงสาบที่เป็นยุคปัจจุบันคือมีรังไข่เหมือนกับปัจจุบัน ในยุคที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์จากโลกไปแล้ว หรือที่เรียกว่ายุค Mesozoic แมลงสาบสามารถปรับตัวได้กับทุกสภาพแวดล้อม เนื่องจากการที่แมลงสาบกินทุกอย่างเป็นอาหาร บางสายพันธุ์สามารถกินไม้ได้ด้วย แมลงสาบจะปรากฏตัวให้เห็นอยู่ในประเทศที่เป็นเขตเมืองร้อน แมลงสาบในประเทศไทยจะอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน แหล่งของเสีย ขยะแมลงสาบที่อาศัยอยู่ตามฟาร์ม เช่น โรงผสมอาหารสัตว์ ปัจจุบันมีวิธีกำจัดแมลงสาบโดยชีววิธี ด้วยแมลงที่เป็นศัตรูเพื่อลดการใช้สารเคมีกำจัดแมลง

แมลงหวี่

แมลงหวี่แบ่งเป็น 3 ชนิด ดังนี้


1. แมลงหวี่ (Pomace Flies) :Drosophila spp. แมลงหวี่มีลำตัวเล็ก ตัวเต็มวัยยาวประมาณ 3-4 มม. ลำตัวมีสีเหลืองถึงน้ำตาลดำ ตามีขนาดใหญ่สีแดง กินอาหารจำพวกผัก และผลไม้ ชอบผลไม้ที่เน่าเสีย มีราขึ้น
2. แมลงหวี่ตา (Eye Flies) : Hippelates pallipes เป็นแมลงตัวเล็กๆ ขนาด 1.5-2.5 มม. ลำตัวมีสีน้ำตาลถึงดำ ตามีสีน้ำตาลขนาดใหญ่ อาหารพืชผัก หรือผลไม้เน่าเปื่อย ขยะ อาหารสด เมือกและน้ำเหลืองของคนและสัตว์
3.แมลงหวี่ขน (Moth Flies) : Psychoda alternata SAY ลักษณะทั่วไป คือ บริเวณบนปีกมีขนหรือขนผสมเกล็ดปกคลุมเต็ม ปลายปีกเป็นมุมแหลม ตัวหนอนกินวัตถุที่ตายและเน่าเปื่อยแล้วเป็นอาหาร ตัวเต็มวัยเพศเมียบางชนิดอาจกัดและดูดเลือดคน 


การป้องกันและ กำจัด
1. กำจัดเศษขยะมูลฝอย โดยเฉพาะที่เป็นขยะอาหารสด ผักผลไม้เน่า สามารถลดแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงหวี่ได้
2.ใช้การอบละอองสารเคมี(misting) เพื่อกำจัดตัวเต็มวัยของแมลงหวี่

การป้องกันและกำจัด 
1. กำจัดและลดแหล่งเพาะพันธุ์ เช่น ทำความสะอาด แหล่งขยะและจัดเก็บหรือฝังกลบมูลสัตว์และซากเน่าเปื่อยให้เรียบร้อย
2. การใช้สารเคมี เช่น เหยื่อพิษสำเร็จรูป