Tuesday, December 14, 2010
แมลงหล่า
แมลงหล่า เป็นแมลงอยู่อันดับ Hemiptera วงค์ Pantatomidae เป็นมวนชนิดหนึ่ง มีลักษณะค่อนข้างกลมคล้ายโล่ห์ ด้านหัวและอกเป็นรูปสามเหลี่ยม ลำตัวมีสีน้ำตาลหรือดำเป็นมันวาว ยาว 7-8 มิลลิเมตร กว้าง 4-5 มิลลิเมตร เพศผู้มีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย ชอบอาศัยรวมกลุ่มที่โคนต้นข้าวเหนือระดับน้ำในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนจะเคลื่อนย้ายขึ้นบนต้นข้าว เพศเมียวางไข่ประมาณ 200 ฟอง โดยวางไข่เป็นกลุ่ม จำนวน 20-26 ฟองต่อกลุ่ม เรียงเป็นแถวขนานกัน วางไข่ที่ใบข้าวบริเวณโคนต้นข้าวใกล้ระดับผิวน้ำ หรือบางครั้งอาจจะวางบนพื้นดิน ไข่มีสีชมพูแกมเขียว ระยะไข่ 4-6 วัน ตัวอ่อนมี 6 ระยะ ตัวอ่อนมีสีน้ำตาลและสีเหลืองกับจุดสีดำ ระยะตัวอ่อน 20-30 วัน ตัวอ่อนมีพฤติกรรมเหมือนตัวเต็มวัย คือหลบซ่อนอยู่ที่โคนต้นข้าวหรือตามรอยแตกของพื้นดินในตอนกลางวันและหากินใน ตอนกลางคืน ตัวเต็มวัยมีอายุนานถึง 214 วัน อยู่ข้ามฤดูหนาวหรือฤดูแล้ง โดยฟักตัวอยู่ในร่องระแหงดินในที่มีหญ้าขึ้น เมื่อสภาพภูมิอากาศเหมาะสมจะบินเข้าแปลงนา และขยายพันธุ์หลายรุ่น มีการพักตัวหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ตัวเต็มวัยสามารถอพยพได้ระยะทางไกลๆ
ลักษณะการทำลายและความรุนแรงของการระบาด
ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากกาบใบข้าวบริเวณโคนต้นข้าว ทำให้บริเวณที่ถูกทำลายเป็นสีน้ำตาลแดงหรือเหลือง ขอบใบข้าวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำคล้ายข้าวเป็นโรคไหม้ ตามข้อของลำต้นข้าวเป็นบริเวณที่แมลงหล่าชอบเพราะเป็นแหล่งที่มีน้ำเลี้ยง มาก การทำลายในระยะข้าวแตกกอทำให้ต้นข้าวที่อยู่กลางๆ กอข้าวมีอาการแคระแกร็น มีสีเหลืองหรือเหลืองแกมน้ำตาล และการแตกกอลดลง ถ้าทำลายหลังระยะข้าวตั้งท้องทำให้รวงข้าวแกร็น ออกรวงไม่สม่ำเสมอและรวงข้าวมีเมล็ดลีบ ต้นข้าวอาจเหี่ยวตายได้ ถ้ามีแมลงจำนวนมากทำให้ต้นข้าวแห้งไหม้คล้ายกับถูกเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ทำลาย แมลงหล่าทำลายได้ทุกระยะการเจริญเติบโต
แมลงหล่ามักพบระบาดในข้าวนาสวน นาชลประทานพบมากกว่านาน้ำฝน พบในนาหว่านมากกว่านาดำ เนื่องจากความหนาแน่นของต้นข้าวนาหว่านมีมากกว่านาดำ ซึ่งเป็นสภาพที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย โดยทั่วไปแมลงหล่าชอบสภาพที่ร่มและเย็น ในฤดูนาปีการระบาดมีมากกว่านาปรัง พบระบาดเป็นครั้งคราวในบางท้องที่ แต่การระบาดแต่ละครั้งมักทำความเสียหายรุนแรง ดังเช่น ปี พ.ศ. 2538-2539 มีรายงานการระบาดของแมลงหล่าที่อำเภอเมือง อำเภอตากใบ อำเภอระแงะ และ กิ่งอำเภอบาเจาะ เป็นพื้นที่ 36,335 ไร่ โดยเฉพาะที่อำเภอตากใบระบาดถึง 23,151 ไร่ ในปี พ.ศ. 2542 แมลงหล่าระบาดทำความเสียหายแก่ข้าวในหลายท้องที่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่จังหวัดนราธิวาส พบระบาดถึง 22,000 ไร่ สาเหตุการระบาดของแมลงหล่าในจังหวัดนราธิวาส ไม่สามารถชี้ชัดว่ามาจากสาเหตุใด แต่มีข้อสังเกตว่าพบระบาดในพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วม และโดยทั่วไปเกษตรกรไม่มีการใช้สารฆ่าแมลงในการปลูกข้าว พันธุ์ข้าวที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พื้นเมือง ในปี พ.ศ. 2545 พบระบาดที่อำเภอหนองเสือ จังหวัดปทุมธานี แต่ไม่รุนแรงนัก และ ปี พ.ศ. 2546 พบระบาดที่อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ในข้าวอายุประมาณ 45 วัน ปี 2547 พบระบาดในนาข้าวของเกษตรกรที่คลองแปด และ คลองสิบสี่ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ในข้าวระยะแตกกอเต็มที่จนถึงระยะออกรวง ทำให้ตันข้าวแห้งตาย ผลผลิตเสียหาย คาดว่าแมลงชนิดนี้จะเริ่มมีความสำคัญในนาข้าวบริเวณนี้เนื่องจากพบระบาดทำ ความเสียหายมาจนถึงปี 2548
แมลงสิง
แมลงสิง Leptocorisa oratorius (Fabricius) เป็น มวนชนิดหนึ่ง ตัวเต็มวัยมีรูปร่างเพรียวยาวประมาณ 15 มิลลิเมตร หนวดยาวใกล้เคียงกับลำตัว ลำตัวด้านบนสีน้ำตาล ลำตัวด้านล่างสีเขียว เมื่อถูกรบกวนจะบินหนี และปล่อยกลิ่นเหม็นออกจากต่อมที่ส่วนท้อง ตัวเต็มวัยจะออกหากินช่วงบ่ายๆ และช่วงเข้ามืด และเกาะพักที่หญ้าขณะที่มีแสงแดดจัด เพศเมียวางไข่ได้หลายร้อยฟองในช่วงชีวิตประมาณ 2-3 เดือน วางไข่เป็นกลุ่มมี 10-12 ฟอง เรียงเป็นแถวตรงบนใบข้าวขนานกับเส้นกลางใบ ไข่มีสีน้ำตาลแดงเข้ม รูปร่างคล้ายจาน ระยะไข่นาน 7 วัน ตัวอ่อนมีสีเขียวแกมน้ำตาลอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม และดูดกินน้ำเลี้ยงจากกาบใบข้าวก่อน ต่อมาเป็นตัวเต็มวัยจะเข้าทำลายเมล็ดข้าวในระยะข้าวเป็นน้ำนมจนถึงออกรวง ตัวอ่อนมี 5 ระยะ
ลักษณะการทำลายและการระบาด
ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยใช้ปากแทงดูดกินน้ำเลี้ยงจากเมล็ดข้าว ระยะเป็นน้ำนม แต่ก็สามารถดูดกินเมล็ดข้าวทั้งเมล็ดอ่อนและเมล็ดแข็งโดยตัวเต็มวัยจะทำความ เสียหายมากกว่า เพราะดูดกินเป็นเวลานานกว่าทำให้เมล็ดลีบ หรือเมล็ดไม่สมบูรณ์และผลผลิตข้าวลดลงการดูดกินของแมลงสิงไม่ทำให้เป็นรูบน เปลือกของเมล็ดเหมือนมวนชนิดอื่นโดยปากจะเจาะผ่านช่องว่างระหว่างเปลือกเล็ก และเปลือกใหญ่ของเมล็ดข้าว ความเสียหายจากการ ทำลายของแมลงสิงทำให้ข้าวเสียคุณภาพมากกว่าทำให้น้ำหนักเมล็ดลดลง โดยเมล็ดข้าวที่ถูกแมลงสิงทำลาย เมื่อนำไปสีจะแตกหักง่าย แมลงสิงเริ่มพบในต้นฤดูฝน และเจริญเติบโต ขยายพันธุ์ 1-2 รุ่นบนพืชอาศัยพวกวัชพืชตระกูลหญ้า ก่อนที่จะอพยพเข้ามาในแปลงนาข้าวช่วงระยะข้าวออกดอก แมลงสิงพบได้ทุกสภาพแวดล้อม แต่พบมากในนาน้ำฝนและข้าวไร่ สภาพที่เหมาะต่อการระบาดคือ นาข้าวที่อยู่ใกล้ชายป่า มีวัชพืชมากมายใกล้นาข้าว และมีการปลูกข้าวเหลื่อมเวลากันข้อสังเกต ถ้ามีแมลงสิงระบาดในนาข้าวจะได้กลิ่นเหม็นฉุน
การป้องกันกำจัด
1) กำจัดวัชพืชในนาข้าว คันนาและรอบๆแปลง
2) ใช้สวิงโฉบจับตัวอ่อนและตัวเต็มวัยในนาข้าวที่พบระบาดและนำมาทำลาย
3) ตัวเต็มวัยชอบกินเนื้อเน่า นำเนื้อเน่าแขวนไว้ตามนาข้าว และจับมาทำลาย
4) หลีกเลี่ยงการปลูกข้าวต่อเนื่องเพื่อลดการแพร่ขยายพันธุ์
5) ใช้สารฆ่าแมลง คาร์โบซัลแฟน (พอสซ์ 20% อีซี) อัตรา 80 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นเมื่อแมลงสิงมากกว่า 4 ตัวต่อตารางเมตร ในระยะข้าวเป็นน้ำนม
แมลงบั่ว
ตัวเต็มวัยของแมลงบั่ว มีลักษณะคล้ายยุงแต่ลำตัวมีสีส้มยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตรหนวด และขามีสีดำ เวลากลางวันตัวเต็มวัยจะเกาะซ่อนตัวอยู่ใต้ใบข้าว บริเวณกอข้าวและจะบินไปหาที่มีแสงไฟเพื่อผสมพันธุ์ ตัวเมียวางไข่ใต้ใบข้าวเป็นส่วนใหญ่ในตอนกลางคืนโดยวางเป็นฟองเดี่ยวๆ หรือเป็นกลุ่ม ไข่มีลักษณะคล้ายกล้วยหอม สีชมพูอ่อน ยาวประมาณ 0.45 มิลลิเมตร กว้าง 0.09มิลลิเมตร ระยะไข่ประมาณ 3-4 วัน ตัวหนอนที่ฟักจากไข่จะคลานตาม บริเวณกาบใบเพื่อแทรกตัวเข้าไปในกาบใบ เข้าไปอาศัยกัดกินที่จุดกำเนิดของหน่ออ่อน (growing point) หนอนมี 3 ระยะ ระยะหนอนนาน 11 วัน ขณะที่หนอนอาศัยกัดกินหน่ออ่อนนั้น ต้นข้าวจะสร้างหลอดหุ้มตัวหนอนไว้ ทำให้ข้าวแสดงอาการ ที่เรียกว่า “หลอดบั่ว หรือ หลอดธูป” หนอนก็เจริญและเข้าดักแด้ภายในหลอดข้าวนั้น โดยระหว่างที่หนอนโตขึ้นหลอดก็จะมีขนาดใหญ่และยืดออก และเมื่อหนอนเข้าดักแด้ หลอดนั้นก็จะยืดโผล่พ้นกาบใบข้าวจนมองเห็นจากภายนอกได้ ระยะดักแด้นาน 6 วัน เมื่อดักแด้ใกล้จะฟักออกเป็นตัวเต็มวัยจะเคลื่อนย้ายมาอยู่ส่วนปลายของหลอด ข้าวนั้น และเจาะออกเป็นตัวเต็มวัยที่ปลายหลอดนั่นเอง พร้อมทั้งทิ้งคราบดักแด้ไว้ที่รอยเปิดนั้น ระยะตัวเต็มวัยนาน 2-3 วันฤดูหนึ่งบั่ว สามารถขยายพันธุ์ได้ 6-7 ชั่วอายุๆที่ 2, 3 และ 4 จะเป็นชั่วอายุที่สามารถทำความเสียหายให้ข้าวได้มากที่สุด
ลักษณะการทำลายและการระบาด
แมลงบั่วเป็นแมลงศัตรูข้าวที่สำคัญในภาคเหนือตอนบน เช่นที่ จังหวัดตาก แพร่ ลำปาง น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่ ซึ่งพบระบาดรุนแรงในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ จังหวัดขอนแก่น อุบลราชธานี หนองคาย นครพนม และสกลนครเนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการเพิ่มปริมาณของแมลงบั่ว กล่าวคือ มีความชื้นสูง มีพื้นที่เป็นเขาหรือเชิงเขาล้อมรอบ ทั้งนี้เพราะความชื้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการวางไข่ จำนวนไข่ การฟักไข่ การอยู่รอดหลังจากฟักจากไข่ของหนอนและการเข้าทำลายยอดข้าวอ่อนเหตุที่สภาพ ภูมิอากาศเป็นตัวกำหนดการเพิ่มปริมาณของแมลงบั่ว จึงทำให้ในภาคกลางแมลงบั่วเป็นแมลงศัตรูข้าวที่มีความสำคัญน้อย โดยพบบางปี ในจังหวัดฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี และปทุมธานี ภาคตะวันออกที่จังหวัดตราดและจันทบุรี ภาคใต้ที่จังหวัด ชุมพร และสุราษฎร์ธานี
ตัวเต็มวัยแมลงบั่วจะเข้าแปลงนาตั้งแต่ระยะกล้า หรือช่วงระยะเวลา 25-30 วัน เพื่อวางไข่หลังจากฟักออกตัวหนอนจะคลานลงสู่ซอกของใบยอดและกาบใบเพื่อเข้า ทำลายยอดที่กำลังเจริญทำให้เกิดเป็นหลอดลักษณะคล้ายหลอดหอม ต้นข้าวและกอข้าวที่ถูกทำลายจะมีอาการแคระแกร็น เตี้ย ลำต้นกลม มีสีเขียวเข้ม ยอดที่ถูกทำลายไม่สามารถออกรวงได้ ทำให้ผลผลิตข้าวลดลงมาก ระยะข้าวแตกกอจะเป็นระยะที่บั่วเข้าทำลายมาก เมื่อข้าวเกิดช่อดอก (primodia) แล้วจะไม่ถูกหนอนบั่วทำลาย
ตัวหนอนเข้าทำลายจุดกำเนิดของหน่อข้าว หน่อข้าวจะสร้างหลอดหุ้มตัวหนอนมีลักษณะคล้ายหลอดหอม ต้นที่ถูกทำลายจะไม่ออกรวง
แมลงสาบ
แมลงสาบ คือแมลงชนิดหนึ่ง โดยชื่อภาษาอังกฤษนั้นมีที่มาจากภาษาละติน ส่วนชื่อไทยนั้นคำว่าสาบ หมายถึง กลิ่นเหม็นสาบ เหม็นอับนั่นเอง แมลงสาบนั้น โดยทั่วไปที่รู้จักกันดีจะเป็นสายพันธุ์ Periplaneta americana ซึ่งสายพันธุ์นี้มีลำตัวยาวประมาณ 3 เซนติเมตร แมลงสาบอยู่ในวงศ์ Blattidae ส่วนแมลงสาบไทยหรือแมลงสาบในสายพันธุ์เอเชียจะอยู่ในวงศ์ Blattella asahinai ซึ่งมีความยาวลำตัวประมาณ 2 เซนติเมตรขึ้นไป
ความเป็นมาและวิวัฒนาการของแมลงสาบ
วิวัฒนาการของแมลงสาบ จากการศึกษาซากฟอสซิลของแมลงสาบ บ่งชี้ได้ว่า แมลงสาบได้ถือกำเนิดมาบนโลกนี้ยาวนานกว่ามนุษย์หลายเท่า เพราะมันได้เกิดมาตั้งแต่ยุคโบราณ (Carboniferous) 354 - 295 ล้านปีมาแล้ว ความแตกต่างของแมลงสาบโบราณกับแมลงสาบในปัจจุบัน คือช่องออกไข่ที่ปลายช่องท้องของมัน และมีการค้นพบฟอสซิลแมลงสาบที่เป็นยุคปัจจุบันคือมีรังไข่เหมือนกับปัจจุบัน ในยุคที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์จากโลกไปแล้ว หรือที่เรียกว่ายุค Mesozoic แมลงสาบสามารถปรับตัวได้กับทุกสภาพแวดล้อม เนื่องจากการที่แมลงสาบกินทุกอย่างเป็นอาหาร บางสายพันธุ์สามารถกินไม้ได้ด้วย แมลงสาบจะปรากฏตัวให้เห็นอยู่ในประเทศที่เป็นเขตเมืองร้อน แมลงสาบในประเทศไทยจะอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน แหล่งของเสีย ขยะแมลงสาบที่อาศัยอยู่ตามฟาร์ม เช่น โรงผสมอาหารสัตว์ ปัจจุบันมีวิธีกำจัดแมลงสาบโดยชีววิธี ด้วยแมลงที่เป็นศัตรูเพื่อลดการใช้สารเคมีกำจัดแมลง
แมลงหวี่
แมลงหวี่แบ่งเป็น 3 ชนิด ดังนี้
1. แมลงหวี่ (Pomace Flies) :Drosophila spp. แมลงหวี่มีลำตัวเล็ก ตัวเต็มวัยยาวประมาณ 3-4 มม. ลำตัวมีสีเหลืองถึงน้ำตาลดำ ตามีขนาดใหญ่สีแดง กินอาหารจำพวกผัก และผลไม้ ชอบผลไม้ที่เน่าเสีย มีราขึ้น
2. แมลงหวี่ตา (Eye Flies) : Hippelates pallipes เป็นแมลงตัวเล็กๆ ขนาด 1.5-2.5 มม. ลำตัวมีสีน้ำตาลถึงดำ ตามีสีน้ำตาลขนาดใหญ่ อาหารพืชผัก หรือผลไม้เน่าเปื่อย ขยะ อาหารสด เมือกและน้ำเหลืองของคนและสัตว์
3.แมลงหวี่ขน (Moth Flies) : Psychoda alternata SAY ลักษณะทั่วไป คือ บริเวณบนปีกมีขนหรือขนผสมเกล็ดปกคลุมเต็ม ปลายปีกเป็นมุมแหลม ตัวหนอนกินวัตถุที่ตายและเน่าเปื่อยแล้วเป็นอาหาร ตัวเต็มวัยเพศเมียบางชนิดอาจกัดและดูดเลือดคน
การป้องกันและ กำจัด
1. กำจัดเศษขยะมูลฝอย โดยเฉพาะที่เป็นขยะอาหารสด ผักผลไม้เน่า สามารถลดแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงหวี่ได้
2.ใช้การอบละอองสารเคมี(misting) เพื่อกำจัดตัวเต็มวัยของแมลงหวี่
2.ใช้การอบละอองสารเคมี(misting) เพื่อกำจัดตัวเต็มวัยของแมลงหวี่
การป้องกันและกำจัด
1. กำจัดและลดแหล่งเพาะพันธุ์ เช่น ทำความสะอาด แหล่งขยะและจัดเก็บหรือฝังกลบมูลสัตว์และซากเน่าเปื่อยให้เรียบร้อย
2. การใช้สารเคมี เช่น เหยื่อพิษสำเร็จรูป
2. การใช้สารเคมี เช่น เหยื่อพิษสำเร็จรูป
แมลงวัน
แมลงวัน เป็น แมลง ใน อันดับ Diptera (di = สอง, และ ptera = ปีก) มีบน อกปล้องทีสอง และ ตุ่มปีกหนึ่งคู่ ซึ่งลดรูปจากปีกหลัง บนอกปล้องที่สาม แมลงวันบางชนิดไม่มีปีก โดยเฉพาะใน superfamily Hippoboscoidea
อันดับ Diptera เป็นอันดับที่มีขนาดใหญ่ ประกอบด้วย ประมาณ 240,000 ชนิด ของ ยุง, บั่ว, ริ้น และแมลงวันอื่นๆ แต่มีเพียงครึ่ง(ประมาณ 122,000 ชนิด)ที่ได้รับการจำแนกแล้ว เป็นอันดับหลักๆที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศและมนุษย์ (ทางการแพทย์และทางเศรษฐกิจ) ยุงในวงศ์ Culicidaeมีความสำคัญมากโดยเป็นพาหะนำโรค มาลาเรีย, ไข้เลือดออก, ไวรัส West Nile, ไข้เหลือง , encephalitis
แมลงวัน เป็นแมลงที่อาศัยอยู่กับชุมชนมนุษย์ชนิดหนึ่ง ส่วมมากคนจะรู้จักบางชนิด เช่น แมลงวันบ้าน และแมลงวันหัวเขียว มักจะกินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์และเศษอาหาร ตามกองขยะ และชอบหากินเวลากลางวัน ไม่ชอบแสงแดดจัด รัศมีการหากินอยู่ในวงประมาณ 3 กิโลเมตร
การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต
แมลงวันออกลูกเป็นไข่ และฟักเป็นหนอนแมลงวัน และระยะดักแด้ จนกลายเป็นตัวเต็มวัย วงจรชีวิตของแมลงวันตั้งแต่ไข่จนเป็นตัวเต็มวัยกินเวลาประมาณ 8-10 วันเมื่อแมลงวันผสมพันธุ์กัน ตัวผู้จะเริ่มขึ้นขี่ตัวเมีย หันหน้าไปทางเดียวกัน แต่จะหมุนหันหน้าไปทางตรงกันข้ามในเวลาต่อมา แมลงวันมีความสามารถในการสืบพันธุ์มากกว่าแมลงอื่นๆ และใช้เวลาสั้นกว่าด้วย จึงเป็นสาเหตุให้แมลงวันมีประชากรจำนวนมาก
ตัวเมียจะวางไข่ใกล้ๆแหล่งอาหารเท่าที่เป็นไปได้ การเจริญเติบโตเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัวหนอนจะกินอาหารมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่เจริญเติบโตไปเป็นตัวเต็มวัย ในบางครั้งไข่จะฟักทันทีหลังจากถูกวางไข่ แมลงวันบางชนิดตัวหนอนฟักภายในตัวแม่ ovoviviparous
ตัวหนอนแมลงวัน หรือเรียกว่า maggot ไม่มีขาจริง ระหว่างอกและท้องมีการแบ่งส่วนพื้นที่ เพียงเล็กน้อย หลายชนิดแม้แต่หัวก็ไม่สามารถแบ่งส่วนพื้นที่ได้ชัดจากส่วนอื่น บางชนิดมีขาเทียมเล็กๆที่ปล้องตัว ตาและหนวดลดรูป หรือไม่มี และท้องไม่มีรยางค์ เช่น cerci. ลักษณะดังกล่าวเป็นการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่มีอาหารเป็นจำนวนมาก เช่นในอินทรีย์วัตถุเน่าหรือเป็นปรสิตภายใน
ดักแด้มีหลายรูปแบบ บางครั้งเข้าดักแด้ในปลอกไหม หลักจากออกจากดักแด้ ตัวเต็มวัยมีอายุประมาณ 2-3 วัน หน้าที่หลักเพื่อสืบพันธุ์และหาแหล่งอาหารใหม่
แมลงปอ
เรื่องของแมลง
แมลงเป็นสิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่สุดของบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายซึ่งอยู่บน โลก นักกีฏวิทยาได้ศึกษาและตั้งชื่อให้แมลงแล้วเกือบล้านชนิด แต่ยังมีแมลงเหลืออีกมากกว่า 2 ใน 3 ที่มนุษย์ยังไม่ได้เริ่มศึกษา ในจำนวนแมลงทั้งหลายแมลงปอนับว่าเป็นแมลงที่มีขนาดใหญ่และสีสันสวยงามชนิด หนึ่ง เป็นแมลงที่มนุษย์คุ้นเคยและอยู่ใกล้ตัว แต่เรากลับรู้จักชีวิตจริงของมันน้อยมาก แม้แต่อายุที่แท้จริงของมันก็ยังไม่สามารถรู้ได้ในบรรดาแมลงด้วยกันแมลงปอเป็นสัตว์ที่ดุร้าย และมีธรรมชาติของการเป็นตัวห้ำตลอดชีวิต กินอาหารง่ายไม่เลือกเหยื่อ มันกินแมลงแทบทุกชนิดและทุกตัวที่อ่อนแอกว่า ล้วนตกเป็นเหยื่อได้ทั้งสิ้น แมลงปอบินได้ถึง 100 ก.ม. : ชั่วโมง เมื่อเทียบกับขนาดของลำตัวที่มีความยาวไม่กี่เซนติเมตร และการขยับปีกขึ้น - ลง อย่างรวดเร็ว เฉลี่ยประมาณ 500 กว่าครั้ง : วินาที การเข้าจู่โจมเหยื่อที่เป็นอาหารเป็นไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ มันจึงได้รับฉายาว่า " เพชรฆาตปีกสีรุ้ง นักล่าแห่งเวหา "
แมลงปอเป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่เกิดขึ้นมาบนโลกก่อนหน้าไดโนเสาร์ และก่อนยุคของผีเสื้อ ฟอสซิลของแมลงปอที่เก่าแก่ที่ขุดพบนั้น แสดงว่ามันเคยอาศัยอยู่ในยุค Carboniferous หรือประมาณ 300 ล้านปีมาแล้ว บรรพบุรุษของแมลงปอมีประวัติศาสตร์อันยาวนานควบคู่มากับบรรพบุรุษของแมลงสาบ แสดงว่าแมลงทั้งสองชนิดนี้มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม และมีวิวัฒนาการจนสามารถดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ จากซากของฟอสซิลที่ขุดพบทำให้สันนิษฐานว่าแมลงปอเคยอยู่ในทะเลมาก่อน แล้วจึงมีวิวัฒนาการขึ้นมาอาศัยอยู่บนบกและในน้ำจืด แมลงปอในอดีตมีขนาดใหญ่โตมาก ขนาดความยาวของปีกทั้งสองข้างรวมกัน ยาวประมาณ 29 นิ้ว เป็นแมลงที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาแมลงของยุคนั้นทั้งหมดที่มนุษย์รู้จัก หลังจากนั้นแมลงปอได้มีวิวัฒนาการของขนาดและรูปร่าง จนกระทั่งตัวเล็กลงมาเรื่อยๆ ปัจจุบันพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดมีขนาดความยาวจากปลายปีกทั้งสองข้างเหลือเพียง 7.5 นิ้ว เท่านั้น ปีกของแมลงปอมีการพัฒนาเรื่อยมาเป็นเวลานับล้านๆปี เพื่อใช้สำหรับกระโดดและบินไปในอากาศ มีความบางเบาและยืดหยุ่นมากขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นปีกบางใสที่มีเส้นปีกสานกันอยู่เป็นโครงเช่นในปัจจุบัน
นักกีฏวิทยาได้ทำการศึกษาและค้นพบว่าบนโลกนี้มีแมลงปออยู่มากกว่า 5,000 ชนิด ( species ) จัดอยู่ประมาณ 500 สกุล ( genus ) ศาสตราจารย์ G. H. Carpenter แห่งมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ได้แบ่งแมลงปอเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ( suborder ) เกณฑ์ที่ใช้แบ่งดูจากลักษณะของเส้นปีก ( vein ) รูปร่างของปีก และลักษณะการวางของปีกขณะที่มันเกาะนิ่งอยู่กับที่ ลักษณะโดยทั่วไปของแมลงปอทั้ง 2 กลุ่ม 1 กลุ่มแมลงปอบ้าน ( dragonfly , suborder Anisoptera ) มีลักษณะตัวใหญ่ ส่วนมากมีสีเข้ม หัวโต ตากว้างแต่ไม่โปน ปีกคู่หลังใหญ่กว่าปีกคู่หน้า เวลาเกาะนิ่งอยู่กับที่ปีกทั้ง 4 จะกางออกในแนวราบ แมลงปอกลุ่มนี้แข็งแรงมาก บินได้เร็ว พบเห็นทั่วๆไปแม้แต่ในถิ่นที่ห่างไกลจากแหล่งกำเนิดของมัน 2 กลุ่มแมลงปอเข็ม ( damselfly , suborder Zygoptera ) แมลงปอกลุ่มนี้มีขนาดเล็กกว่ากลุ่มแรก ตาโปน ปีกคู่หลังกับคู่หน้ามีขนาดเท่าๆกัน เวลาเกาะนิ่งอยู่กับที่ปีกจะหุบขนานกับลำตัว อ่อนแอและบินช้า ส่วนใหญ่จะบินอยู่ใกล้ๆกับผิวน้ำ และบินต่ำๆอยู่เหนือพื้นดิน หรือเกาะอยู่ตามพุ่มไม้ใบหญ้า ลักษณะโดยทั่วไปของแมลงปอทั้งสองกลุ่ม คือ มีลำตัวยาวเรียว ( slender - shape ) ปีกสองข้างบางใสมีเส้นปีกที่สานกันถี่ละเอียดเป็นโครงคล้ายร่างแห หัวใหญ่ มีตารวม ( compound eyes ) ทำให้สามารถมองเห็นได้รอบตัว หนวดสั้นเล็กเหมือนเส้นขน ยาวประมาณ 5 - 8 ปล้อง โคนหนวดปล้องแรกจะใหญ่หนาและค่อยๆเรียวไปจนถึงปล้องสุดท้าย ปากเป็นแบบกัดกิน ( chewing type ) ขากรรไกรแข็งแรง ส่วนอกมี 3 ปล้อง
Tuesday, December 7, 2010
แมลงทับ
แมลงทับ
แมลงทับไทยที่มีอยู่ 2 พันธุ์ ทั้งพันธุ์ขาเขียวที่มีอยู่มากในภาคกลาง และพันธุ์ขาแดงที่มีมากที่สุดตามป่าเขาในภาคอีสาน ทั้งในเขตเมืองและป่าดงดิบกำลังอยู่ในอันตรายจำนวนลดฮวบอย่างน่ากลัว กลายเป็น สิ่งหาดูได้ยาก เกิดจากพืชอาหารของมันที่มีใบต้นพันชาด ต้นเต็ง ต้นพะยอม ต้นตะแบก ต้นคางคกหรือกางขี้มอด ต้นรัง ต้นแดง ต้นประดู่ ต้นกระบก ต้นมะขามป้อม ต้นมะค่าแต้ และต้นคูนลดจำนวนลงมาก อีกเหตุผลหนึ่งเกิดจากคนจำนวนมากหลงใหลในรสชาติของมัน พากันจับเอาไปกิน ใช้วิธีเอาท่อนไม้ใหญ่ๆฟาดลงไปกลางลำต้นพืชอาหารที่มันเกาะอาศัยอยู่ ก่อให้เกิดการสั่นเขย่าอย่างแรงให้มันร่วงลงมาแล้วจับเอาไปกินในรูปการต่างๆ ตั้งแต่เด็ดปีกเสียบไม้ย่างกิน เอาไปผัดน้ำมันกินหรือเอาไปคั่วกิน ส่วนปีกของมันที่เด็ดออกเอาไปประดับฝาบ้านหรือไม่ก็เอาไปประดับกระติบข้าว
แมลงทับอยู่ตามป่าเขาดงไม้ได้ทั่วทั้งประเทศไทย ไม่มีภูมิภาคใดที่มันอยู่ไม่ได้สีสันอันงดงามของมันนั้นอยู่ยั้งยืนยงคง ทนอยู่กว่า 50 ปีจึงจะสลายไป ชอบกินใบไม้ครึ่งแก่ครึ่งอ่อนที่ชอบมากได้แก่ใบพันชาด ใบมะขามเทศ ใบเต็ง ใบพะยอม และใบตะแบกแดง มันกินจุมากโดยเฉพาะในช่วงที่แดดจัด แม่แมลงทับจะวางไข่ ไว้ตามโคนต้นไผ่เพ็กหรือไผ่โจดแล้วผละจากไป น่าสังเกตว่าถ้าไม่มีไผ่สองชนิดนี้แถวนั้นจะไม่พบแมลงทับเลย
วงจรชีวิตของมันมีแค่ปีเดียว โดยอยู่ใต้ดินนานถึง 11 เดือนตั้งแต่เป็นไข่ เป็นตัวหนอน เป็นดักแด้แล้วจึงโตเต็มวัยกลายเป็นแมลงทับตัวผู้ หรือตัวเมียโบยบินไปในอากาศแล้วอยู่ตามต้นไม้ อาหาร เมื่อออกจากไข่มันกินคอรากส่วนใต้ดินของไผ่เพ็กนั่นเองเป็นอาหาร เมื่อโตเต็มที่กลับมีชีวิตอย่างสำเริงสำราญเป็นอิสระเสรีได้สั้นมาก อยู่ได้แค่ไม่เกิน 4 สัปดาห์เท่านั้นมันก็ตาย ดีหน่อยก่อนที่มันจะตายมันจะจับคู่สมสู่กันอย่างหนำใจ แล้วตัวผู้ก็ตายไป ส่วนตัวเมียตั้งท้องแล้วไข่ แล้วก็ตายตามไป.
Subscribe to:
Posts (Atom)